ครีมอาบน้ำผิวแพ้ง่าย สบู่สำหรับคนเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง

ผิวแพ้ง่ายและภูมิแพ้ผิวหนังคืออะไร

                   ผิวแพ้ง่าย คือ ภาวะที่ผิวหนังตอบสนองไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ สารกันเสีย หรือแม้กระทั่งน้ำประปา ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคือง แสบ แดง หรือคันได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

                   ภูมิแพ้ผิวหนัง คือ โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ผิวแห้งมาก ระคายเคืองง่าย และเกิดผื่นหรืออาการคันได้บ่อย โดยมักพบร่วมกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น หอบหืด หรือแพ้อากาศ

การเลือกครีมอาบน้ำ สำคัญอย่างไร

                   สำหรับคนทั่วไปอาจเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายหรือเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง ครีมอาบน้ำผิวแพ้ง่าย ถือเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวขั้นพื้นฐานที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะการเลือกผิด อาจทำให้สภาพผิวแย่ลง มักพบปัญหา เช่น ผิวหนังลอก ผิวแห้ง หรือคัน

ปัญหาที่มักพบในครีมอาบน้ำทั่วไป

  • มีสารเคมีรุนแรง
  • มักใส่น้ำหอมและแอลกอฮอล์
  • ทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิว
  • pH ในครีมอาบน้ำไม่สมดุล

ครีมอาบน้ำผิวแพ้ง่ายที่ดีต้องมีอะไรบ้าง

  • ไม่มีสารก่อการระคายเคือง เช่น SLS พาราเบน แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสียที่อาจกระตุ้นภูมิแพ้
  • ต้องไม่มีน้ำหอม
  • ต้องมีค่า ph ที่เหมาะกับผิว ที่ประมาณ 5.5
  • ต้องมีมอยส์เจอไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นแก้ผิว
  • ต้องมีการทดสอบการแพ้ เพื่อให้แน่ใจว่าคนเป็นภูมิแพ้หรือเป็นภูมิแพ้ผิวหนังใช้ได้

เคล็ดลับการอาบน้ำสำหรับคนผิวแพ้ง่าย

  • หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด
  • ควรอาบน้ำไม่เกิน 10 นาทีต่อครั้ง
  • ไม่ควรขัดหรือถูผิวแรงๆ
  • ซับผิวเบาๆด้วยผ้าขนหนูที่นุ่มและสะอาด
  • ทาโลชั่นบำรุงผิวทันทีหลังอาบน้ำ

สรุป

                   การมีผิวแพ้ง่ายหรือภูมิแพ้ผิวหนังไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล หากเลือกใช้ ครีมอาบน้ำผิวแพ้ง่าย ที่เหมาะสม และใส่ใจในการเลือก สบู่ สำหรับคน เป็น ภูมิแพ้ผิวหนัง อย่างถูกวิธี ก็สามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ผิวจะกลับมาแข็งแรง นุ่ม ชุ่มชื้น และห่างไกลจากอาการคัน แดง หรือระคายเคือง

อุปกรณ์การแพทย์พื้นฐาน ที่ทุกบ้านควรมี

ทำไมถึงควรมีอุปกรณ์การแพทย์อยู่ที่บ้าน

                ในชีวิตประจำวันไม่รู้ว่าเราหรือคนในครอบครัวจะเกิดการเจ็บป่วยหรือเกิดเหตุฉุกเฉินเมื่อไหร่ การมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นไว้ที่บ้านจึงช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทันท่วงที

อุปกรณ์ทางแพทย์พื้นฐานใดบ้างที่ควรมีติดบ้านไว้

                1. เครื่องวัดความดันโลหิต คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดค่าโลหิตจะทำให้รู้ว่าสุขภาพดีหรือไม่ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันอันตรายได้

                2. เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว คือ เครื่องที่ใช้สำหรับวัดความเข้มของระดับออกซิเจนในเลือด รวมทั้งยังใช้วัดอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย เครื่องจะมีลักษณะคล้ายคลิปหนีบกระดาษ

                3. เทอร์โมมิเตอร์วัดไข้ คือ อุปกรณ์ที่ใช้วัดไข้ทางปาก ทางรักแร้ และทางทวารหนัก หากมีอุณหภูมิที่สูงเกินไปอาจจะส่อแววของอาการป่วยได้

                4. กล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น ที่ข้างในประกอบด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือล้างแผล ผ้าก๊อซ ผ้าปิดแผล ผ้าพันแผล สำลี ปากคีบ กรรไกร ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ

                5. เครื่องพ่นยา คือ เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ซึ่งจะช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น

                6. รถเข็นผู้ป่วย ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงสำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่บาดเจ็บบริเวณขาที่ไม่สะดวกในการเคลื่อนที่ และยังใช้ได้กับผู้ที่กำลังพักฟื้น

                7. เครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบพกพาใช้งานง่าย โดยเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดจะมีเข็มสำหรับเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้เลือดเพียงหยดเดียวก็สามารถตรวจระดับน้ำตาลในเลือดได้แล้ว

ใครบ้างที่เหมาะกับการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์

  • บ้านที่มีผู้สูงอายุ
  • บ้านที่มีผู้ป่วยที่เป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหอบหืด ฯลฯ
  • บ้านที่มีเด็กเล็ก
  • บ้านที่มีผู้ป่วยพักฟื้น

ที่ไหนบ้างที่ขายอุปกรณ์ การแพทย์

  • ร้านขายอุปกรณ์ การแพทย์
  • เว็บไซต์ที่ขายอุปกรณ์ การแพทย์
  • โรงพยาบาล
  • คลินิก
  • ร้านขายออนไลน์ทั่วไป
  • ร้านขายส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์
  • ครอบครัวทุกครอบครัว

สรุป

                ทุกบ้านทุกครอบครัวควรมีเครื่องมือทางการแพทย์พื้นฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงกับครอบครัวและชีวิต โดนอุปกรณ์ทางการแพทย์สามารถหาซื้อได้ง่ายที่แหล่งขายอุปกรณ์ การแพทย์ใกล้บ้านท่าน

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโรคหัวใจอีกหนึ่งภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรละเลย

         

โรคหัวใจ คือโรคต่างๆ ที่เกิดกับหัวใจ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของหัวใจผิดปกติไป โรคหัวใจมีหลายประเภท อย่าง โรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากการที่หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจถูกอุดตันหรือแคบลง ส่งผลให้หัวใจไม่ได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่เพียงพอ,โรคหัวใจวาย เกิดจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย,โรคลิ้นหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจผิดปกติ เกิดจากการติดเชื้อ ความผิดปกติจากการกำเนิด หรือสภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้ลิ้นหัวใจเกิดการรั่วหรือตีบ,โรคหัวใจผู้ป่วยเด็ก โรคหัวใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างหัวใจที่ผิดปกติ,โรคหัวใจเสื่อม การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ ไม่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดหัวใจ อาจเกิดจากการอักเสบ การติดเชื้อ หรือสาเหตุอื่นๆ,โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ รูปแบบหนึ่งของการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นที่ห้องบนของหัวใจ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคหัวใจ

  • มีภาวะหลอดเลือดแข็ง เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดชั้นในหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการสะสมของตะกอนไขมัน คอเลสเตอรอล หรือแคลเซียม จนทำให้หลอดเลือดแดงแข็งหรือตีบตัน ส่งผลให้เลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอสำหรับเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย
  • ความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดและหัวใจต้องทำงานหนักเกินไป นำไปสู่การเสื่อมสภาพของหลอดเลือดและหัวใจ
  • การสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือดนอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • โรคเบาหวาน โรคนี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งสามารถทำลายหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจบางอย่างสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ คุณอาจมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น
  • อาหารและการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง คอเลสเตอรอลสูง และอาหารที่ผ่านการแปรรูปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ในขณะที่การขาดการออกกำลังกายก็เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน
  • ความเครียด ความเครียดระยะยาวสามารถส่งผลเสียต่อหัวใจโดยการเพิ่มความดันโลหิตและส่งผลต่อระบบหัวใจ

อาการเบื้องต้นของโรคหัวใจ

อาการของโรคหัวใจจะแตกต่างกันไปตามประเภทของโรคหัวใจและความรุนแรงของโรค

  • อาการเจ็บหน้าอก  ความรู้สึกเจ็บแน่นในหน้าอก ซึ่งมักเกิดจากการที่หัวใจขาดออกซิเจน
  • หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย การหายใจที่ไม่สะดวกหรือรู้สึกว่าต้องหายใจลึกๆ โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมหรือนอนราบ
  • อาการบวม ขา หรือบริเวณอื่นๆ บนร่างกายอาจบวมเนื่องจากระบบหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ปกติ
  • ความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง รู้สึกเหนื่อยมากโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน แม้กระทั่งหลังจากพักผ่อน
  • เวียนหัวหรือหน้ามืด บางครั้งอาจรู้สึกเวียนหัวหรือหน้ามืดขึ้นอย่างกะทันหัน เนื่องจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ
  • หัวใจเต้นผิดปกติ  รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ ตุ้บๆ หรือไม่สม่ำเสมอ
  • อาการเป็นลม อาจมีอาการเป็นลมหรือหมดสติชั่วขณะ
  • อาการอ่อนแรง มักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในขา ทำให้การเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ลำบากขึ้น

การรักษาโรคหัวใจในปัจจุบัน

การรักษาด้วยการใช้ยา 

  1. ยาลดความดันโลหิต เช่น ACE inhibitors, beta-blockers
  2. ยาลดคอเลสเตอรอล เช่น statins
  3. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น aspirin, anticoagulants
  4. ยาขยายหลอดเลือด เช่น nitrates

การผ่าตัด  

ในกรณีที่โรคหัวใจรุนแรงใช้ยาไม่ได้ผล อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัด

  1. การติดตั้งสเต็นท์ การใส่ส่วนเสริมเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจที่แคบ
  2. การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เป็นการสร้างเส้นทางใหม่เพื่อเลี่ยงส่วนที่อุดตันของหลอดเลือด
  3. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ
  4. การฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ สำหรับการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสามารถช่วยควบคุมหรือป้องกันโรคหัวใจได้

  1. การหยุดสูบบุหรี่
  2. การควบคุมน้ำหนักและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล
  3. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  4. การจัดการกับความเครียด

การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการักษา

  1. การใช้เซลล์บำบัด การวิจัยและการทดลองใช้เซลล์บำบัดเพื่อซ่อมแซมหรือแทนที่เนื้อเยื่อหัวใจที่เสียหาย เซลล์ต้นกำเนิดสามารถช่วยเร่งการซ่อมแซม และการสร้างเนื้อเยื่อหัวใจใหม่ได้
  2. เทคโนโลยีเช่นการถ่ายภาพด้วยคลื่นเสียงหัวใจสามมิติ และการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็ก ช่วยให้แพทย์สามารถดูโครงสร้างของหัวใจและการทำงานของมันได้อย่างละเอียด

              ทั้งนี้วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราห่างไกลจากโรคต่างๆ คือเราต้องดูแลตันเองให้ดีๆ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ, ไม่เครียด, พักผ่อนให้เพียงพอม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด, งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์,ควบคุมน้ำตัวให้อยู่ในเกณฑ์ อย่าปล่อยให้อ้วน,อย่าขาดยารักษาโรคประจำตัว และที่สำคัญต้องหมั่นไปตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจดูสุขภาพโดยรวมของร่างกายหากเกิดความผิดปกติจะทำการรักษาได้ทันที เพราะโรคบางอย่างหากตรวจเจอเร็วและรักษาได้ไวก็มีโอกาสหายขาดสูง หรือไม่ก็ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ค่ะ